วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

         " สังคมและวิทยาการต่างๆที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นผลมาจากการคิดค้นและพัฒนาของบุคคลมากมายในอดีตแล้วเราจะลืมพวกเขาเหล่านั้นได้อย่างไรค่ะ  เราอาจจะเคยคุ้นชื่อบุคคลเหล่านี้ แต่บางคนเราก็ไม่รู้ว่า เขาผู้นั้นเป็นใคร ทำอะไร อยู่ที่ไหนอย่างไร เราลองมาทำความรู้จักพวกเขาเหล่านั้นกันดูนะค่ะ"




กาลิเลโอ กาลิเลอี

 กาลิเลโอเป็นนักวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และดาราศาสตร์ ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของโลก โดยเฉพาะผลงานด้านดาราศาสตร์เป็นผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุด การทดลองและการค้นพบของเขามีประโยชน์มากมายหลายด้าน โดยเฉพาะทางด้านดาราศาสตร์ เช่น พบจุดดับบนดวงอาทิตย์ พบบริวารของดาวพฤหัสบดี เป็นต้น การพบลักษณะการแกว่งของวัตถุซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็นเครื่องจับเวลา และนาฬิกาลูกตุ้ม อีกทั้งการที่เขาสามารถพัฒนาสร้างกล้องโทรทรรศน์ให้มีประสิทธิภาพ
มากขึ้น ทำให้วิชาการด้านดาราศาสตร์มีความเจริญก้าวหน้า อีกทั้งเขายังเป็นบุคคลที่มีความกล้าหาญอย่างมากในการเสนอแนวความคิด ต่าง ๆ เกี่ยวกับทฤษฎีดั้งเดิมที่ผิดของอาริสโตเติล ซึ่งนำความเดือดร้อนมาให้กับเขาเอง ทั้งการถูกต้องขังและ
ถูก กล่าวหาว่าเป็นพวกนอกรีตต่อต้านคำสั่งสอนทางศาสนา ซึ่งเกือบจะต้องเสียชีวิตถ้าเขาไม่ยอมรับความผิดอันนี้ แม้ว่าเขาจะต้อง ยอมรับผิด แต่เขาก็ไม่หยุดทำการค้นคว้าและการทดลองทางวิทยาศาสตร์ต่อไป กาลิเลโอมักมีแนวความคิดที่แตกต่าง
ไปจากคนอื่นเสมอ เขาจะไม่ยอมเชื่อทฤษฎีต่าง ๆ ที่ได้รับการเผยแพร่ออกมาทั้งในอดีตและในยุคนั้น กาลิเลโอต้องทำการทดลอง เสียก่อนที่จะเชื่อถือในทฤษฎีข้อนั้น และด้วยนิสัยเช่นนี้ทำให้เขาได้รับฉายาว่า The Wrangler ฉายาของกาลิเลโออันนี้ในปัจจุบัน ได้ใช้หมายถึง "ผู้เชี่ยวชาญ" ในมหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด (Oxford University) และมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
(Cambridge University)

เกิด        วันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1564  ที่เมืองปิซา (Pisa) ประเทศอิตาลี (Italy)
เสียชีวิต วันที่    8 มกราคม ค.ศ. 1642     ที่เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) ประเทศอิตาลี (Italy)
ผลงาน - ค.ศ. 1584 ตั้งกฎเพนดูลัม (Pendulum) หรือกฎการแกว่างของนาฬิกาลูกตุ้ม
           - ค.ศ. 1585 ตีพิมพ์หนังสือชื่อว่า Kydrostatic Balance และ Centre of Gravity
           - ค.ศ. 1591 พิสูจน์ทฤษฎีของอาริสโตเติลที่ว่าวัตถุที่มีน้ำหนักเบาว่าผิด อันที่จริงวัตถุจะตกถึงพื้นพร้อมกันเสมอ
           - พัฒนากล้องโทรทรรศน์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถส่องดูดาวบนจักรวาลได้
           - พบลักษณะพื้นผิวของดวงจันทร์
           - พบว่าดาวมีหลายประเภท ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกัน ได้แก่ ดาวเคราะห์ และดาวฤกษ์
           - พบทางช้างเผือก (Milky Way)
           - พบบริวารของดาวพฤหัสบดี ว่ามีมากถึง 4 ดวง
           - พบวงแหวนของดาวเสาร์ ซึ่งปากฎว่ามีสีถึง 3 สี
           - พบว่าพื้นผิวของดาวศุกร์มีลักษณะคล้ายกับดวงจันทร์
           - พบจุดดับบนดวงอาทิตย์ (Sun Spot)
           - พบดาวหาง 3 ดวง








ขงจื้อ
ขงจื้อ (จีนตัวย่อ: 孔子; อังกฤษ: Confucius ; ภาษาไทยมีเรียกกันหลายชื่อ เช่น ขงฟู่จื่อ ขงจื่อ ข่งชิว) (ตามธรรมเนียม, 28 กันยายน 551 - 479 ปีก่อน ค.ศ.) [1] ชื่อรอง จ้งหนี เป็นนักคิดและนักปรัชญาสังคมที่มีชื่อเสียงของจีน คำสอนของขงจื๊อนั้น ฝังรากอิทธิพลลึกลงไปในสังคมเอเชียตะวันออกมาเป็นเวลาถึง 20 ศตวรรษ หลักปรัชญาของขงจื๊อนั้นเน้นเกี่ยวกับศีลธรรมส่วนตัว และศีลธรรมในการปกครอง ความถูกต้องเหมาะสมของความสัมพันธ์ในสังคม และ ความยุติธรรมและบริสุทธิ์ใจ
ก่อนสิ้นใจ ขงจื๊อได้ทิ้งท้ายข้อความไว้กับ ซื่อคง ไว้ว่า "ขุนเขาต้องพังทลาย ขื่อคานแข็งแรงปานใด สุดท้ายต้องพังลงมา เหมือนเช่น บัณฑิตที่สุดท้ายต้องร่วงโรย"
      เมื่อขงจื๊อเกิดมาได้เพียง3ปี บิดาที่มีร่างกายสูงใหญ่และแข็งแรงได้เสียชีวิตจากไป ขงจื๊อในวัยเยาว์ชอบเล่นตั้งโต๊ะเซ่นไหว้ ชอบเลียนแบบท่าทางพิธีกรรมของผู้ใหญ่ เมื่ออายุได้ 15 ปี ฝักใฝ่การเล่าเรียน อายุ 19 ปี ได้แต่งงานกับแม่นางหยวนกวน ในปีถัดมาได้ลูกชาย ให้ชื่อว่า คงลี้ อายุ 20 ขงจื๊อได้เป็น เสมียนยุ้งฉาง และได้ใส่ใจความถูกต้องเนื่องจากทำงานกับตัวเลข ต่อมาได้ทำหลายหน้าที่รวมทั้ง คนดูแลสัตว์ คนคุมงานก่อสร้าง และในระหว่างที่ศึกษาพิธีกรรมจากรัฐโจว ได้โอกาสไปเยี่ยมเล่าจื๊อ ขงจื๊อมีความสัมพันธ์อันดีกับ เสนาธิบดีของอ๋องจิง และได้ฝากตัวเป็นพ่อบ้าน และได้มีการพูดคุยกับอ๋องในการวางแผน และหลักการปกครอง แต่เนื่องจากโดนใส่ความจากที่ปรึกษาของรัฐ ขงจื๊อจึงเดินทางต่อไปรัฐอื่น ภายหลังได้ฝากฝังตัวเองช่วยบ้านเมือง กับอ๋องติง และได้รับการแต่งตั้งดินแดนส่วนกลางของลู่ เป็นเสนาธิบดีใหญ่ บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง อาชญากรลดลง คนมีคุณธรรมและเคารพผู้อาวุโส และในระหว่างนั้น ได้มีการแบ่งแย่งดินแดน การแย่งชิงเมืองต่างๆ เกิดขึ้น ขงจื๊อได้เดินทางจากเมืองไปสู่เมืองต่างๆ เรียนรู้หลักการปกครอง และวัฒนธรรมท้องถิ่นแต่ละที่ ภายหลังได้ถูกหมายเอาชีวิต และถูกขับไล่ให้ตกทุกข์ได้ยาก และได้กลับมาสู่แคว้นลู่อีกครั้ง ขงจื๊อได้เริ่มรวบรวบพิธีกรรมโบราณ บทเพลง ตำราโบราณ และลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น และได้สอนสั่งลูกศิษย์แถบแม่น้ำซูกับแม่น้ำสี ภายหลังขงจื๊อได้ล้มป่วยหนัก และเจ็ดวันให้หลัง ได้อำลาโลก ตรงกับเดือนสี่ทางจันทรคติ ในปีที่ 16 รัชสมัยอ๋องอี้ รวมอายุได้ 73 ปี







จอร์จ วอชิงตัน 

(อังกฤษGeorge Washington22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1732 [วันที่แบบเก่า: 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1731] – 14 ธันวาคม ค.ศ. 1799) เป็นผู้นำทางทหารและการเมืองที่โดดเด่นของสหรัฐอเมริกาที่เพิ่งก่อตั้งขึ้น ระหว่าง ค.ศ. 1775 ถึง 1799 เขานำสหรัฐจนได้รับชัยชนะเหนือบริเตนใหญ่ในสงครามปฏิวัติอเมริกัน ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพภาคพื้นทวีปใน ค.ศ.1775-1783 และรับผิดชอบการร่างรัฐธรรมนูญใน ค.ศ. 1787 เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา ดำรงตำแหน่ง ค.ศ. 1789-1797 วอชิงตันเป็นผู้นำการสร้างรัฐบาลแห่งชาติที่เข้มแข็งและมีการคลังที่ดี ซึ่งวางตนเป็นกลางในสงครามที่ปะทุขึ้นในยุโรป ปราบปรามกบฏและได้รับการยอมรับจากชนอเมริกันทุกประเภท รูปแบบความเป็นผู้นำของเขาได้กลายมาเป็นระเบียบพิธีของรัฐบาลซึ่งปฏิบัติสืบต่อกันมานับแต่นั้น อาทิ การใช้ระบบคณะรัฐมนตรีและการปราศรัยในโอกาสเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ วอชิงตันได้รับการยกย่องทั่วไปว่าเป็น "บิดาแห่งประเทศของเขา" ด้วย





จูเลียส ซีซาร์

จูเลียส ซีซาร์ (Julius Ceasar) มีชื่อเต็มว่า กายอัส จูเลียส ซีซาร์ (Gaius Julius Ceasar) เป็นรัฐบุรุษในประวัติศาสตร์ สถาปนาตนขึ้นปกครองกรุงโรม และทำให้อาณาจักรโรมันมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักต่อชาวโลกในทุกวันนี้ เป็นต้นแบบของการใช้ชื่อ ซีซาร์ของกษัตริย์ 12 พระองค์
 จูเลียส ซีซาร์ (Julius Ceasar) เกิดเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 100 ปีก่อนคริสตกาล ในตระกูลคุณนางเก่ามีบิดา ชื่อเดียวกับเขา กายอัส จูเลียส ซีซาร์ (Gaius Julius Ceasar the Elder) มารดาชื่อ ออเรเลีย ค็อคตา (Aurelia Cotta) บิดาของเขาแม้จะมั่งคั่งร่ำรวย แต่มิได้มีตำแหน่งสูงนักในทางราชการ ซีซาร์กำพร้าบิดาตั้งแต่อายุยังน้อย มีแต่มารดาคอยให้ความคุ้มครองดูแลตลอดเวลา
 แม้จะมาจากครอบครัวชั้นสูง เขาก็ไม่เคยใช้อภิสิทธิ์สร้างบารมีทางการเมือง
เขาอุทิศทั้งชีวิตคลุกคลีแก้ปัญหาทางการเมืองผู้ยากจน ทั้งในกรุงโรมและตามมณฑลต่างๆ
นอกจากนี้ซีซาร์ยังสร้างสนามกีฬาใหญ่ยักษ์และอาคารสถานที่ในช่วงที่ได้รับเป็นกงสุล
อันเป็นสิ่งที่นานาประเทศถอดแบบนำไปใช้จนถึงปัจจุบัน






ชาลี แชปลิน

เซอร์ชาลส์ สเปนเซอร์ แชปลิน จูเนียร์ (อังกฤษ: Sir Charles Spencer Chaplin, Jr.) หรือรู้จักกันในชื่อ ชาร์ลี แชปลิน (Charlie Chaplin) (16 เมษายนค.ศ. 1889–25 ธันวาคม ค.ศ. 1977) นักแสดงชาวสหราชอาณาจักรผู้มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่ง ในยุคต้นถึงยุคกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 ของฮอลลีวูด อีกทั้งยังเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ซึ่งมีผลงานโดดเด่นหลายเรื่องด้วยกัน ตัวละครที่เขาแสดงซึ่งมีผู้จดจำได้มากที่สุดคือ "คนจรจัด" (The Tramp) ซึ่งมักปรากฏตัวในลักษณะคนจรจัดซึ่งสวมเสื้อนอกคับตัว สวมกางเกงและรองเท้าหลวม สวมหมวกดาร์บีหรือหมวกโบว์เลอร์ ถือไม้เท้าซึ่งทำจากไม้ไผ่ และไว้หนวดจุ๋มจิ๋ม แชปลินเป็นบุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์มากที่สุดคนหนึ่งในยุคภาพยนตร์เงียบ ดังจะเห็นได้จากการที่เขาทั้งแสดง กำกับ เขียนบท อำนวยการสร้าง และรวมไปถึงประพันธ์ดนตรีประกอบในภาพยนตร์ของเขาเอง



ลองดูความตลกของเค้ากันดูนะคะ










ซุนยัดเซ็น

ซุน ยัตเซ็น (12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1866 - 12 มีนาคม ค.ศ. 1925) เป็นนักปฏิวัติและประธานาธิบดีจีน ซุนได้รับการกล่าวขานว่าเป็น "บิดาของชาติ" ในสาธารณรัฐจีน และ "ผู้บุกเบิกการปฏิวัติประชาธิปไตย" ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ด้วยความเป็นผู้ริเริ่มจีนชาตินิยมคนสำคัญ ซุนมีบทบาทสำคัญในการล้มราชวงศ์ชิงระหว่างการปฏิวัติซินไฮ่ ซุนเป็นประธานาธิบดีเฉพาะกาลคนแรกเมื่อสาธารณรัฐจีนก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1912 และภายหลังร่วมก่อตั้งพรรคก๊กมินตั๋ง ซึ่งเขาเป็นหัวหน้าพรรคคนแรก[1] ซุนเป็นบุคคลผู้สร้างความสามัคคีในจีนหลังยุคจักรวรรดิ และยังคงเป็นนักการเมืองจีนสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 20 เพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับความเคารพนับถืออย่างกว้างขวางจากประชาชนทั้งสองฟากฝั่งช่องแคบไต้หวัน
แม้ซุนถูกมองว่าเป็นหนึ่งในผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีนสมัยใหม่ ชีวิตการเมืองของเขากลับต้องต่อสู้ไม่หยุดหย่อนและต้องลี้ภัยบ่อยครั้ง หลังประสบความสำเร็จในการปฏิบัติ เขากลับสูญเสียอำนาจอย่างรวดเร็วในสาธารณรัฐจีนที่เพิ่งก่อตั้งขึ้น และนำรัฐบาลปฏิวัติสืบต่อมาเป็นการท้าทายขุนศึกที่ควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ ซุนมิได้มีชีวิตอยู่เห็นพรรคของเขารวบรวมอำนาจเหนือประเทศระหว่างการกรีฑาทัพขึ้นเหนือ (Northern Expedition) พรรคของเขา ซึ่งสร้างพันธมิตรอันละเอียดอ่อนกับพวกคอมมิวนิสต์ แตกเป็นสองฝ่ายหลังเขาเสียชีวิต มรดกสำคัญของซุนอยู่ในการพัฒนาปรัญาการเมืองของเขา ซึ่งรู้จักกันในชื่อ หลัก 3 ประการแห่งประชาชน อันได้แก่ชาตินิยม ประชาธิปไตย และความเป็นอยู่ของประชาชน







ปาโบล ปิกัสโซ่
ปาโบล ปีกัสโซ (Pablo Picasso) (25 ตุลาคม 1881 - 8 เมษายน 1973) ศิลปินผู้ซึ่งได้รับการยกย่องจากนิตยสาร time ให้เป็นผู้มีพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์และมีอิทธิพลมากที่สุดในศตวรรษที่ 20 เขาประสบความสำเร็จในขณะที่มีชีวิตอยู่และใช้ชีวิตเยี่ยงดาราผู้มีชื่อเสียง (ที่ฉันไม่ชอบใจคือทัศนคติที่เขามีต่อผู้หญิง) ปิกัสโซสร้างผลงานไว้เกือบ 50,000 ชิ้น ผลงานที่มีราคาประมูลสูงสุด คืองานที่ชื่อ Boy with a Pipe (1905) มีมูลค่าประมาณ 4,160 ล้านบาท!
ก้าวสำคัญของเขาเกิดขึ้นในช่วงปีค.ศ. 1909-1912 ซึ่งนักประวัติศาสตร์ศิลป์เรียกผลงานในช่วงเวลานั้นว่าAnalytical Cubism เป็นช่วงที่ปิกัสโซเริ่มทดลองใช้รูปทรงเรขาคณิตในภาพเขียน และยุค Synthetic Cubism ระหว่างปีค.ศ. 1912-1919 ผลงานในยุคคิวบิสม์ทั้งสองนี้ถือเป็นการปฏิวัติครั้งยิ่งใหญ่ในวงการศิลปะ เป็นการก้าวสู่ยุค ศิลปะสมัยใหม่ (Modern Art) ในเวลาต่อมา
ปิกัสโซได้รับดัชชุนด์ชื่อ Lump จากช่างภาพชาวอเมริกัน David Douglas Duncan ซึ่งคุณ Duncan บอกว่าชื่อ Lump ในภาษาเยอรมันแปลว่า เจ้าตัวแสบ และยังบอกไว้ในหนังสือรวมภาพถ่ายของเขาว่า ปิกัสโซได้วาดภาพแรกของเจ้าตัวแสบนี้บนจาน ระหว่างมื้อกลางวันกับแฟนสาวคนล่าสุด Jacqueline Roque ซึ่งได้แต่งงานกันในอีกสี่ปีต่อมา







ปีทาโกรัส
 เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะของนักคณิตศาสตร์ผู้คิดค้นสูตรคูณ หรือตารางปีทาโกเรียน (Pythagorean Table)และทฤษฎีบทในเรขาคณิตที่ว่า "ในรูปสามเหลี่ยมมุมฉากใด ๆ กำลังสองของความยาวของด้านตรงข้ามมุมฉาก เท่ากับผลบวกของกำลังสองของความยาวของด้านประกอบมุมฉาก" ซึ่งทฤษฎีทั้งสองนี้เป็นที่ยอมรับ และใช้กันมาจนปัจจุบันนี้

พีธากอรัสเป็นนักคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมาก จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์เชื่อว่า พีธากอรัสมีอายุอยู่ในราว 582 - 500 ก่อนคริสตกาล พีธากอรัสเป็นชาวกรีก เป็นนักปรัชญา และผู้นำศาสนา พีธากอรัสมีผลงานที่สำคัญคือ เป็นนักคิด เป็นนักดาราศาสตร์ นักดนตรี และนักคณิตศาสตร์ แรกเริ่มในชีวิตเยาว์วัยอยู่ในประเทศกรีก ต่อมาได้ย้ายถิ่นพำนักไปตอนใต้ของอิตาลี ที่เมืองโครตัน (Croton) ศึกษาเล่าเรียนทางปรัชญาและศาสนาที่นั่น พีธากอรัสมีผู้ติดตามและสาวกเป็นจำนวนมาก ซึ่งเรียกว่า Pythagorean การทำงานของพีธากอรัสและสาวกจึงทำงานร่วมกัน 

แนวคิดที่สำคัญของพีธากอรัสและสาวกคือ หลายสิ่งหลายอย่างสามารถอธิบายให้เข้าใจได้ด้วยคณิตศาสตร์ ทำให้การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เป็นเรื่องที่มีความสำคัญยิ่ง พีธากอรัสและสาวกได้ทำการพิสูจน์ทฤษฎีทางคณิตศาสตร์หลายเรื่อง และต่อมาทฤษฎีเหล่านี้เป็นรากฐานของวิทยาการในยุคอียิปต์ 







เฟอร์ดินานด์ แมกเจลแลน
เฟอร์ดินานด์ มาเจลลัน (อังกฤษFerdinand Magellan), ฟีร์เนา ดี มากาลไยช์ (โปรตุเกสFernão de Magalhães) หรือ เฟร์นันโด เด มากายาเนส(สเปนFernando de Magallanes) เป็นนักเดินเรือชาวโปรตุเกส มีชีวิตอยู่ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถและสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 แห่งกรุงศรีอยุธยา เขาเกิดที่เมืองซาบรอซา ทางภาคเหนือของประเทศโปรตุเกส หลังจากรับราชการทหารที่อินเดียตะวันออกและโมร็อกโก มาเจลลันได้เสนอตัวทำงานให้กับพระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งสเปนเพื่อค้นหาเส้นทางเดินเรือทางทิศตะวันตกสู่ "หมู่เกาะเครื่องเทศ" (หมู่เกาะโมลุกกะในประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบัน) เขาจึงได้รับสัญชาติสเปนด้วย
มาเจลลันได้เดินเรือออกจากเมืองเซบียาในปี พ.ศ. 2062 การเดินทางในช่วง พ.ศ. 2062-2065 ของเขาเป็นการเดินเรือจากมหาสมุทรแอตแลนติกเข้าสู่มหาสมุทรที่มาเจลลันตั้งชื่อว่า "แปซิฟิก" เป็นครั้งแรก และยังเป็นการเดินทางรอบโลกครั้งแรกอีกด้วย แต่ตัวมาเจลลันเองไม่ได้เป็นผู้นำการเดินเรือรอบโลกตลอดเส้นทาง เนื่องจากถูกชนพื้นเมืองฆ่าตายที่เกาะมักตันในหมู่เกาะฟิลิปปินส์เสียก่อน (อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มาเจลลันเคยเดินทางจากยุโรปไปทางตะวันออกสู่คาบสมุทรมลายูมาแล้ว จึงเป็นนักสำรวจคนแรก ๆ ที่เดินทางข้ามเส้นเมอริเดียนเกือบทุกเส้นบนโลก) จากลูกเรือ 237 คนที่ออกเดินทางไปกับเรือ 5 ลำ มีเพียง 18 คนที่สามารถเดินเรือรอบโลกได้สำเร็จและกลับไปสเปนได้ในปี พ.ศ. 2065[1][2] นำโดยควน เซบัสเตียน เอลกาโน นักเดินเรือชาวบาสก์ซึ่งทำหน้าที่บัญชาการเดินเรือแทนมาเจลลัน ส่วนลูกเรือลำอื่น ๆ อีก 16 คนมาถึงสเปนในภายหลัง โดย 12 คนในจำนวนนี้ถูกโปรตุเกสคุมตัวที่หมู่เกาะเคปเวิร์ดระหว่าง พ.ศ. 2068-2070 และอีก 4 คนเป็นผู้รอดชีวิตจากเรือตรีนีดัดที่เดินทางไปด้วย แต่เรือแตกในหมู่เกาะโมลุกกะ
ชื่อของมาเจลลันยังถูกนำไปตั้งเป็นชื่อของ "เพนกวินมาเจลลัน" ซึ่งเชื่อกันว่าเขาเป็นชาวยุโรปคนแรกที่ค้นพบ,[3] "เมฆมาเจลลัน" ซึ่งเขาสังเกตเห็นระหว่างการเดินเรือ ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันแล้วว่าที่จริงเมฆนี้เป็นกลุ่มดาราจักรแคระใกล้กับดาราจักรทางช้างเผือก, "ช่องแคบมาเจลลัน" เส้นทางที่มาเจลลันใช้เดินเรือเข้าสู่มหาสมุทรแปซิฟิก และ "ยานมาเจลลัน" ยานสำรวจที่องค์การนาซาส่งไปสำรวจดาวศุกร์ในช่วงปี พ.ศ. 2533-2534









มหาตมะ คานธี

เขาไม่ใช่คนร่ำรวยและมีทรัพย์สินไม่ถึง 3 ดอลลาร์เมื่อเขาตายแต่เขาก็เป็นคนคนเดียวกับที่อัจฉริยะของโลกอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เคยกล่าวไว้ว่า “คนรุ่นอนาคตจะไม่มีทางเชื่อเลยว่า มีคนแบบนี้จริงอยู่บนโลกมนุษย์นี้” มาร์ติน ลูเธอร์คิง ยกย่องเขาว่า “พระเยซูเจ้ามอบคำสอนแก่ข้าพเจ้า คานธีเป็นผู้มอบพิธีการ”

ประวัติ  เด็กชาย โมฮันดาส คาดามจันด์ คานธี เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 1869 เกิดที่เมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่งชื่อขัตติยวาส เขตสุทามาปุรี แคว้นบอมเบย์ เป็นชาวฮินดูในตระกูลแพศย์ เขาเป็นลูกคนสุดท้องของพี่น้องทั้งหมดสี่คน บิดาชื่อ นายกรมจันด์ คานธี มารดาชื่อ นางปุตลีไป ตั้งแต่เด็กเขาได้รับการปลูกฝังให้เป็นคนที่มีวินัยและการอุทิศตนตามหลักศาสนาอย่างเคร่งครัด มารดาของเขาซึ่งเป็นผู้ที่เคร่งในศาสนามาก มักถือศีลอดอาหารเป็นเวลานานอยู่เนืองๆ

 ในวัยเด็ก เขามักถูกดูถูกเหยียดหยามเพราะวรรณะแพศย์ไม่ใช่วรรณะชั้นสูงเท่าใดนัก ทำให้เขาเกลียดการแบ่งชั้นวรรณะ และเนื่องจากการที่เขาเป็นลูกคนเล็ก จึงถูกตามใจมากทำให้เขาเป็นเด็กที่มีนิสัยเกเรมาก ครั้งหนึ่งเขาขโมยเงินบิดาไปซื้อบุหรี่ ด้วยความกลัวจะถูกดุด่า ( บิดาของเขาดุมาก ) จึงสารภาพความจริงออกมา บิดาของเขานอกจากไม่ดุด่าและทำร้ายเขาแล้ว ยังสวมกวดและร้องไห้เนื่องจากซาบซึ้งในความดีและความกล้าหาญของคานธี น้ำตาในครั้งนั้นถือเป็นน้ำตาแห่งความรักของบิดาที่มีต่อเขา เปรียบเสมือนน้ำตาที่ชำระสิ่งไม่ดีไปจากตัวคานธีนั่นเอง


 นี่คือตัวอย่างเล็ก ๆน้อย ๆ ที่ผู้ปกครองทั้งหลายสมควรเอาเยี่ยงอย่าง เมื่อลูกทำผิดควรใช้เหตุผล อย่าเอาอารมณ์ไปทำร้ายลูก ๆ ควรคิดและไตร่ตรองก่อน โดยใช้ความรักให้เป็นสิ่งที่สร้างความสุขให้กับครอบครัวคานธีแต่งงานตั้งแต่อายุ 13 ปี เขาเป็นสามีขี้หึงชอบแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ ภรรยาของคานธีชื่อ คาสตวาเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อเขามากพอ ๆ กับบิดาของเขาเลยทีเดียว เมื่ออายุ 17 ปีเขาต้องทิ้งภรรยาและครอบครัวเพื่อไปเรียนกฎหมายที่อังกฤษ ความหวังของเขาในขณะนั้นคือการที่จะได้เป็นสุภาพบุรุษอังกฤษ ที่แต่งตัวอย่างผู้ดีอังกฤษ เรียนเต้นรำและดนตรี โดยที่เขาเองไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่าชีวิต ความคิดของเขาจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรนับจากวินาทีที่เขามุ่งหน้าสู่ดินแดนใหม่ อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเรียนจนจบแล้วกลับมาประกอบอาชีพทนายความในอินเดีย แต่การว่าความครั้งแรกของเขาสร้างความอับอายให้แก่เขามากตามประสาทนายความมือใหม่ที่เต็มไปด้วยความประหม่า ตื่นเต้น เขาไม่สามารถเปิดปากพูดสิ่งใดได้เลย และเพื่อหนีความอับอายทำให้เขาตัดสินใจหนีไปอยู่ที่แอฟริกาใต้ ที่ที่เขาเริ่ม มองเห็นความต้องการและ “ตัวตน” ของตนเอง

เมื่ออยู่ในแอฟริกาได้ไม่นาน เขาก็พบสิ่งที่สะเทือนใจของเขาอย่างมาก อันเกิดจากการกีดกัน แบ่งชั้นวรรณะ ( ที่อาจดูเหมือนเลวร้ายพอ ๆ กับในบ้านเกิดของเขา ) โดยที่เขาไม่รู้มาก่อนว่ามีการเลือกปฎิบัติต่อชาวอินเดีในแอฟริกาใต้ เมือวันหนึ่งเขาซื้อตั๋วรถไฟชั้นหนึ่ง แต่ถูกเหยียดหยามจากผู้โดยสารผิวขาว โดยผู้โดยสารผิวขาวได้ต่อว่าพนักงานและบอกให้เขาย้ายไปนั่งที่นั่งชั้นสาม แต่คานธีไม่ยอม พอถึงสถานีแรกที่รถจอด เขาก็โดนผู้คุมโยนลงจากรถไฟ อย่างไร้ความปราณี และจุดนี้เองที่เขาเองก็ถือว่า “เป็นประสบการณ์ที่สร้างสรรค์มากที่สุดในชีวิต” ทำให้เขานั่งคิดทั้งคืนว่า การที่ถูกปฏิบัติอย่างนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หลังจากนั้นอีกเพียงหนึ่งสัปดาห์ เขาจึงได้นำความคิดของเขามาแสดงออกใน การประชุมผู้อพยพชาวอินเดียพื้นเมืองขณะนั้นเขามีอายุเพียง 24 เท่านั้น

 เขาแสดงแนวความคิดที่จะเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมให้กับคนอินเดียและคนผิวดำ ซึ่งถูกกดขี่จากคนผิวขาว ที่ถูกจำกัดสิทธิในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทางสิทธิในการออกเสียง การเป็นเจ้าของทรัพย์สิน หรือ แม้แต่เดินบนถนนในยามค่ำคืนก็ไม่สามารถออกมาเดินได้เพราะคนขาวเกรงว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะมาทำร้ายด้วยอุดมการณ์แบบนักกฎหมายที่เขาเชื่อว่า เมื่อกฎหมายเปลี่ยน...พฤติกรรมของมนุษย์จะเปลี่ยนแปลงตาม.... เขายังคงทุ่มเททำงานในศาลระดับล่างเพื่อเตรียมทำอะไรบางอย่างเรื่อยมา

 จนเมื่อปี 1906 เขาสมัครเข้าร่วมกองทัพทหารอังกฤษเพื่อปราบปรามการลุกฮือของพวกซูลู ในสงครามโบเออร์ และที่นี่เองที่ทำให้เขาเห็นความรุนแรงอย่างไร้มนุษยธรรมว่า พวกซูลูถูกกดขี่และเอาเปรียบจากคนอังกฤษ เขาเริ่มคิดถึงภรรยาของเขา คนใกล้ตัวมากที่สุดที่เขาเคยกดขี่และเอาเปรียบ จนเขาเกิดความสำนึกผิดและคิดว่า “ข้าพเจ้ารู้สึกผิดต่อชีวิตสมรสของตัวเอง ต่อความสัมพันธ์ของคาสวา ( ภรรยา) ”
  
ในปี 1906 นั้นเองที่กฎหมายใหม่ในแอฟริกาใต้กำหนดให้ ชาวอินเดียทุกคนต้งอเข้ารับการจดทะเบียนและพิมพ์ลายนิ้วมือ ข้อบังคับนี้รวมถึงการให้หญิงชาวอินเดียต้องเปลื้องผ้าต่อหน้าตำรวจผิวขาว เพื่อกรอกตำหนิรูปพรรณลงไปด้วย สิ่งนี้เองที่สร้างความไม่พอใจให้กับเขาและชาวอินเดียเป็นอย่างมาก จนเกิดการชุมนุมชาวอินเดียสามพันคนในกรุงโยฮันเนสเบริก เขาขึ้นไปพูดว่า

เราจะสวดมนต์ขอต่อพระผู้เป็นเจ้าว่าเราจะเข้าคุก และจะอยู่ในคุกจนกว่ากฎหมายนี้จะถูกเพิกถอน

เพราะคำพูดประโยคนี้จึงทำให้เกิดการจุดประกายให้เกิดการต่อต้านครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ผู้ประท้วงต่างอดทนต่อการทุบตีของตำรวจและยอมรับความเจ็บปวดอย่างกล้าหาญและที่นี่เองที่ “หลักอหิงสา” ได้อุบัติขึ้น เพราะเขาคิดได้แล้วว่า “หลักอหิงสา” จะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เกิดสันติได้โดยไม่ต้องเกิดการต่อสู้ และเสียเลือดเนื้อ จนในที่สุดเขาก็พิสูจน์ว่าได้ผลเมื่อทหารอังกฤษต้องยอมยกเลิกกฎนั้น

 ขณะที่เขามีอายุ 45 ปีในค.ศ. 1915 เขากลับมายังอินเดีย แผ่นดินแม่ที่ถูกปกครองโดยลัทธิจักวรรดินิยมมากว่า 20 ปี และถูกกอบโกยเอาทรัพยากรต่าง ๆ ไปเป็นจำนวนมาก เขาเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่คนอินเดียกว่าสามร้อยล้านคน จะก้มหัวให้กับคนอังกฤษเพียงแสนคน ทำให้เขาปลุกระดมให้คนอินเดียรวมตัวกันประท้วง

 การประท้วงครั้งแรกเกิดจากคนอินเดียสองพันคนในเมืองอำมริษา ปรากฎว่านายพลเรจินนอล์ ดายเออร์ ได้ออกคำสั่งห้ามชุมนุมไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว นายพลจึงบัญชาการให้ทหารห้าสิบนายไปปราบปรามโดยกราดยิงกระสุนไรเฟิลเข้าใส่ผู้ชุมนุมกว่าสิบนาทีและที่หยุดยิงเพราะกระสุนหมด.... เป็นผลให้มีผู้เสียชีวิตถึง 379 คน และบาดเจ็บกว่า 1,000 คน

 เหตุการณ์นี้เองสร้างความตึงเครียดที่อาจก่อให้เกิดการล้างแค้นขึ้น แต่คานธีลุกขึ้นมาพูดว่า จะไม่ตอบโต้อังกฤษ ที่กระทำเช่นนั้น เขาไม่ใช่ศัตรูแต่เป็นเพื่อนเราต่างต้องการการปลดปล่อยเหมือนกัน ด้วยวิธีการพูดเช่นนี้ช่วยแปรเปลี่ยนความเคียดแค้น ชิงชังให้กลายมาเป็นความสามัคคีของชาวอินเดียทุกคน เขาได้กล่าวว่า เขาหันมาใส่เสื้อผ้าธรรมดาพร้อมกับพูดว่า “เสื้อผ้าของชาวต่างชาติที่สวมใส่อยู่นั้น แสดงความเป็นทาสต่อวัฒนธรรมของชาวตะวันตก และเราจะไม่สามารถปลดปล่อยความเป็นทาสได้” ทำให้คนอินเดียเอาเสื้อผ้าเหล่านั้นไปเผาทิ้ง
  
ตำนานแห่งการต่อสู้ด้วยหลัก “อหิงสา” ของคานธีมีอีกหลายเรื่องที่เล่าขานกันได้อย่างไม่จบสิ้น แต่ก็มีเรื่องที่สำคัญมากคือ การต่อสู้สิทธิของชาวอินเดียในเรื่อง “เกลือ” ( ในอดีตเกลือเป็นของที่มีค่า ) เพราะชาวอังกฤษกดขี่ชาวอินเดีย ไม่ให้ทำเกลือเองและ ห้ามว่าการขายเกลือของชาวอินเดียเป็นสิ่งผิดกฎหมายแต่กลับสงวนไว้เพื่อชาวอังกฤษเท่านั้น คานธีจึงวางแผนต่อต้านด้วยการเดินเท้าเปล่าระยะทางกว่าสองร้อยไมล์ ไปยังทะเลอาหรับ พร้อมด้วยสาวกกว่าแปดสิบคน เพื่อไปทำเกลือที่นั่น

 วันที่ 12 มีนาคม 1930 อีกบทหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์เริ่มต้นอีกครั้ง..การเดินทางครั้งนี้ได้รับความสนใจจากนักข่าวต่างประเทศที่เข้ามาทำข่าวของเขามากมายซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของการเข้ามาทำข่าวในดินแดนอนุทวีปแห่งนี้ ทำให้โลกได้รู้ถึงการกระทำของเขาและสาวกจนทำให้มีคนเข้าร่วมเดินกับเขาเป็นจำนวนมาก เป็นการเปิด “ความจริง”ให้โลกทั้งโลกได้รับรู้และแม้จะไม่สามารถมาร่วมขบวนได้แต่ต่างก็ได้เอาใจช่วยเขา เขาใช้เวลาเดินทาง 24 วันจนในที่สุดเมื่อวันที่ 6 เมษายน เขาก็เดินไปถึงชายฝั่งมหาสมุทรพร้อมกับชาวอินเดียหลายแสนคนที่ร่วมเดินทางมากับเขา เขาก้มลงหยิบเกลือขึ้นมาและพูดว่า

“ด้วยเกลือหยิบมือนี้ ข้าพเจ้าขอต่อต้านการบังคับของจักรวรรดิอังกฤษ  ขอเราจงร่วมกันต่อสู้เพื่อสิทธิของเราเถิด”

ถือเป็นการสร้างประกายไฟแห่งการตอบสนองของคนอินเดีย ให้มีการค้าขายเกลือกันอย่างเปิดเผย ทำให้คานธี และคนอินเดียหลายพันคนถูกจับและทำร้ายร่างกาย แต่ด้วยแรงกดดันจากนานาประเทศ ทำให้ลอร์ดเออวินน์ ผู้สำเร็จราชการอังกฤษปล่อยตัวคานธีและเปิดการเจรจาเพื่อทำการต่อรอง คานธีมาตามคำเชิญพร้อมกับขอน้ำอุ่นมาหนึ่งแก้ว พร้อมกับหยิบของขึ้นมาสิ่งหนึ่ง  พร้อมกับบอกว่า
  “ท่านที่เคารพ อย่าบอกใครนะว่านี่คือเกลือที่ข้าทำอย่างผิดกฎหมาย” พร้อมกับเทเกลือลงน้ำและยกขึ้นดื่ม และจากเหตุการณ์นี้ ทำให้กษัตริย์อังกฤษเรียกตัวเขาเข้าพบ ซึ่งที่นั่นเอง ที่ทำให้เขามีโอกาสแสดงทรรศนะของเขาว่า "ข้าพเจ้ากำลังขอร้องต่อบิดาแห่งชาติของเรา ให้ท่านมีเมตตา มีความรัก เห็นความจริงและงดใช้ความรุนแรง ขอจงประทานพรแก่พวกเรา เสรีภาพอันสมบูรณ์เท่านั้นคือสิ่งที่เราต้องการ"


ต่อมาในเดือนสิงหาคม ปี 1942 คานธีเรียกร้องการประกาศอิสรภาพโดยทันที "นี่คือคำสวดเป็นคำสั้นๆ ที่ข้าพเจ้าจะมอบแก่ท่านอยู่หรือตาย เราจะปลดปล่อยอินเดียหรือมิฉะนั้นก็ยอมตาย" และในคืนวันที่คานธี ประกาศอิสรภาพนั้นเอง เขาและสมาชิกสภาคองเกรซทั้งหมดก็ถูกจับกุม ด้วยวัย 73 ปี แต่โลกทั้งโลกก็ให้ความ สนใจต่อการกระทำของเขาในครั้งนี้มาก วันที่ 14 สิงหาคม 1947 อินเดียก็ฉลองอิสรภาพของตน เนื่องจากเป็นช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้อำนาจของอังกฤษลดน้อยลง จนในที่สุดอังกฤษต้องยอมรับว่าตนไม่สามารถปกครองอินเดียอีกต่อไปได้ แต่ 'ลอร์ดเมาท์ แบดเทริส์น' ได้ทิ้งยาพิษที่ขมขื่นไว้สำหรับชาติอินเดียที่เป็นเอกราชและคานธี คือการ แบ่งแยกอินเดียออกเป็น 2 ประเทศ ด้วยการก่อตั้งรัฐปากีสถาน อนาคตของชาติใหม่ปรากฏความขัดแย้งให้เห็นอยู่ เบื้องหน้าแล้ว ชาวฮินดูและมุสลิม คู่แข่งอันยาวนาน หันมาเกลียดกันอย่างเปิดเผย ชาวมุสลิมส่วนน้อยยืนยันจะแยกตัวออกไป (กลายเป็นประเทศปากีสถานในปัจจุบัน) หลังจากอุทิศมาชั่วชีวิตเพื่อรวมประชาชนให้เป็นหนึ่งเดียว แต่คานธีกลับต้องเห็นบ้านเกิดอันเป็นที่รักถูกแบ่งออกเป็น 2ส่วน ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำร้ายจิตใจเขามาก

 บางทีเขาอาจต้องทบทวนว่าด้วยหลัก “อหิงสา” และการต่อสู้เกือบทั้งชีวิตของเขาหรือไม่ที่ทำให้เกิดการสูญเสียจากการสังหารหมู่ระหว่างชาวฮินดูและมุสลิมจำนวนครึ่งล้าน มาถึงตอนนี้เขากลายเป็นบุคคลที่มีทั้ง “ คนรักและคนชัง” เพราะเมื่อเขาเริ่มอดอาหารประท้วง ก็มีผู้เดินขบวนและร้องออกมาว่า “ คานธีจงลงนรก ปล่อยให้คานธีตายไป ให้เขาตายไปลงนรกซะ” นับเป็นการใช้ชีวิตในช่วงปัจฉิมวัยที่ขมขื่นมากสำหรับเขาเลยทีเดียว วันที่ 30 มกราคม 1948 คานธีในวัย 78 ปี เดินเข้าไปในที่ประชุมสวดประจำวัน ในสวนเวอริฮาทร์ กรุงนิวเดลี ท่ามกลางฝูงชน ชายชาวฮินดูคนหนึ่ง 'นาฮูราน กอสซี่' วัย 36 ปี ก้าวออกมาก้มลงคารวะคานธี แล้วพูดว่า 'ท่านมาสายสำหรับการสวด' คานธีก็พูดว่า 'ใช่ฉันมาสายไป มาสายจริงๆ' แล้วกอสซี่ชักปืนเล็กๆ ออกจากเสื้อเชิ้ตของเขา แล้วยิงปืนใส่คานธี 3 นัด กระสุนเจาะทะลุท้องและอีกนัดหนึ่งที่หน้าอก เขาไม่แสดงถึงความประหลาดใจ หรือความเจ็บปวด ขณะสุดท้ายก่อนสิ้นลม เขาพนมมือในลักษณะสวดมนต์แล้วพึมพรำคำว่า "ราม" ( พระผู้เป็นเจ้าในภาษาอินเดีย )